ในฤดูกาลนี้ เราได้ทราบกันแล้วว่า ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก นัดชิงชนะเลิศฤดูกาลนี้ เป็นการดวลกันระหว่าง ลิเวอร์พูล กับ ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ วันนี้เราจะมา ย้อนรอยนัด ชิงชนะเลิศ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก เมื่อทีมจากลีกเดียวกันมาเจอกันเอง ในอดีตที่ผ่านมา
ย้อนรอยนัด ชิงชนะเลิศ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก เมื่อทีมจากลีกเดียวกันมาเจอกันเอง
มีไม่กี่ปีนักหรอก ที่สโมสรจากชาติเดียวกัน สุดท้ายจะมาโคจรพบกันในนัดชิงชนะเลิศแบบนี้ โดยเฉพาะสโมสรแดนผู้ดี ซึ่งนี่เป็นเพียงหนที่ 2 เท่านั้นเอง เราไปดูกันดีกว่าว่ามีซีซั่นไหนบ้าง ที่ทีมจากชาติเดียวกัน ไปดวลกันในรอบชิงดำ
เรอัล มาดริด 3-0 บาเลนเซีย – 24 พฤษภาคม 2000
ไม่น่าเชื่อว่า แชมเปี้ยนส์ ลีก เริ่มเตะกันมาตั้งแต่ปี 1955 แต่คู่ชิงจากชาติเดียวกันครั้งแรก เกิดขึ้นในปี 2000 ยุคมิลเลเนียม โดยเป็นเกมระหว่าง เรอัล มาดริด กับ บาเลนเซีย
ที่สนาม สต๊าด เดอ ฟร้องซ์ ในวันนั้นแน่นอนว่าทีมเต็งคือ เรอัล มาดริด ที่มีชื่อชั้นดีกว่า แต่ทาง บาเลนเซีย นำมาโดยกุนซือ เอ็คตอร์ คูเปร์ ถือว่าเป็นม้ามืดที่น่าสนใจเป็นอย่างมาก
เพราะว่าในฤดูกาลนั้นเอง “ราชันชุดขาว” ก็ไม่ได้มีผลงานในลีกที่ดีเท่าไหร่นัก พวกเขาจบด้วยการเป็นอันดับ 5 ของตารางด้วยซ้ำ ขณะที่ บาเลนเซีย จบอันดับ 3 ด้วยการมีแต้มเท่ากับรองแชมป์ บาร์เซโลน่า
อย่างไรก็ตาม สถิติการพบกันของคู่นี้ ในฤดูกาลนั้นทัพ “ไอ้ค้างคาว” ไม่สามารถเอาชนะ มาดริด ได้เลยทั้งเกมเหย้าและเยือน ทำให้ในนัดชิงชนะเลิศดูน่าสนใจขึ้นมาทันทีว่าสุดท้ายจะจบลงแบบไหน
เส้นทางของทั้งคู่ ทาง มาดริด เดินสายมาได้อย่างสะดวก ไม่ว่าจะเป็นรอบแบ่งกลุ่มทั้ง 2 รอบ แม้ในรอบแบ่งกลุ่มรอบสองจะเป็นรอง บาเยิร์น มิวนิค เข้าเป็นรองแชมป์
แต่ก็สามารถผ่านมาได้ด้วยเฮดทูเฮดที่เหนือกว่า ดินาโม เคียฟ ก่อนจะมาเจอกับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด แชมป์เก่า แต่ก็ผ่านมาได้ด้วยการบุกไปเอาชนะ 3-2 รอบรองฯ มาชนกับ “เสือใต้” อีกที และก็เอาชนะไปด้วยสกอร์รวม 3-2
ขณะที่ บาเลนเซีย ก็มาได้ดี ในรอบแบ่งกลุ่มรอบแรก ชนะ 3 เสมอ 3 เข้าเป็นแชมป์กลุ่ม ส่วนในรอบสองจบรองแชมป์ โดยไปแพ้ให้กับ แมนฯ ยูไนเต็ด แต่เมื่อเข้ารอบก่อนรองชนะเลิศ พวกเขาสามารถถล่ม ลาซิโอ ได้ในเกมบ้านตัวเอง 5-2 เช่นเดียวกับนัดที่เจอ บาร์เซโลน่า ก็ถล่มคาถิ่น เมสตาย่า สเตเดี้ยม 4-1 แม้จะไปแพ้ในเลกสองทั้งสองรอบ แต่ก็แพ้แบบไม่ขาด ทำให้เข้ารอบมาอย่างสวยหรู
แต่ใน 90 นาทีที่ออกมา สุดท้ายกลายเป็น เรอัล มาดริด ที่ใส่ชุดดำ ถล่มปูพรมชนะ บาเลนเซีย ไป 3-0 จากประตูของ เฟร์นานโด มอริเอนเตส (39′), สตีฟ แม็คมานามาน (67′) และ ราอูล กอนซาเลซ (75′) ส่งให้ มาดริด คว้าแชมป์เป็นสมัยที่ 8 และเป็นสมัยที่ 2 ในรอบ 3 ปี ก่อนจะมาได้อีกครั้งในยุค กาลาติกอส อีก 2 ปีต่อมา
เอซี มิลาน 0-0 ยูเวนตุส (มิลาน ชนะในการดวลจุดโทษ 3-2) – 28 พฤษภาคม 2003
ถึงคราวของทีมจากอิตาลี ในยุคที่ถือว่าเป็นหนึ่งช่วงเวลารุ่งเรื่อง เพราะสโมสรแดนมักกะโรนี เข้ารอบรองชนะเลิศกันได้ถึง 3 ทีม โดย เอซี มิลาน และ ยูเวนตุส ต่างมีผู้เล่นที่มีศักยภาพ
นักเตะชื่อดังมารวมตัวกันมากมาย แม้ว่าทาง “ไอ้ม้าลาย” จะไม่มี ซีเนอดีน ซีดาน แล้ว แต่ตัวอื่นๆ ก็ยังอยู่กันครบ นำมาโดย อเลสซานโดร เดล ปิเอโร่
ส่วนทัพ “ปีศาจแดงดำ” มีนักเตะอย่าง รุย คอสต้า, อันเดรีย ปิร์โล่, อเลสซานโดร เนสต้า, อันเดร เชฟเชนโก้, เปาโล มัลดินี่ และ ฟิลิปโป้ อินซากี้ ดูเหมือนจะมีนักเตะชื่อดังมากกว่า ขณะที่ “ยูเว่” ดันมาขาดแข้งสำคัญอย่าง พาเวล เนดเวด ในนัดชิงฯ เสียอีก
ทาง “ไอ้ม้าลาย” ผ่าน 2 ยักษ์ใหญ่จากสเปน ในรอบน็อกเอาต์ อย่าง บาร์เซโลน่า และ เรอัล มาดริด เข้ามาแบบเฉียดฉิว (3-2 และ 4-3) ขณะที่ มิลาน เอาชนะ อาแจ็กซ์ มาได้หวุดหวิด และเอาชนะ อินเตอร์ คู่ปรับร่วมเมือง ในการนับกฎอเวย์โกล (เสมอ 1-1)
ผลงานในลีกของ ยูเวนตุส ดีกว่า พวกเขาจบด้วยการเป็นแชมป์ มีแต้มห่าง อินเตอร์ อันดับ 2 อยู่ถึง 7 คะแนนเมื่อจบซีซั่น และห่าง มิลาน ที่มาเป็นอันดับ 3 ถึง 11 คะแนน แต่เมื่อเกมที่ โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด เริ่มขึ้น กลายเป็นแมตช์ที่ค่อนข้างจะอึดอัด
ต่างฝ่ายต่างกลัวที่จะถูกประตูขึ้นนำไปก่อน หลังจากนั้นก็มีโอกาสหวาดเสียวกันบ้างเหมือนกัน อย่างจังหวะที่ อันเดร เชฟเชนโก้ ยิงประตูเข้าไปแล้ว แต่ผู้ตัดสินไม่ให้ประตู เนื่องจาก รุย คอสต้า ไปบัง จานลุยจิ บุฟฟ่อน ซึ่งเอาจริงๆ ถ้าเป็นฟุตบอลสมัยนี้ รุย คอสต้า จะไม่ล้ำหน้าแน่นอน
หลังจากนั้นทำอะไรกันไม่ได้ จบลงด้วยสกอร์ 0-0 ต้องไปดวลกันด้วยการยิงจุดโทษ ซึ่งกลายเป็นแมตช์ที่น่าจดจำของ ดิด้า นายทวาร มิลาน ซึ่งเซฟจุดโทษไปได้ถึง 3 ลูกจากการยิงของ ดาวิด เทรเซเกต์, มาร์เซโล่ ซาลาเยต้า และ เปาโล มอนเตโร่ ส่วน จานลุยจิ บุฟฟ่อน ก็เซฟได้ จากลูกยิงของ คลาเรนซ์ เซดอร์ฟ และ คาค่า คาลัดเซ่ แต่ลูกสุดท้าย เชฟเชนโก้ คือผู้ปิดเกม ยิงให้ มิลาน ชนะไป 3-2
ทำให้ “รอสโซ่เนรี่” ของ คาร์โล อันเชล็อตติ คว้าแชมป์สมัยที่ 6 ไปครอง ส่วน ยูเวนตุส ของกุนซือ มาร์เซโล ลิปปี้ ต้องน้ำตาร่วงเป็นหนที่ 2 ติดต่อกันที่เข้าชิงฯ หลังจากไปแพ้ มาดริด มาเมื่อปี 1998
แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 1-1 เชลซี (แมนฯ ยูไนเต็ด ชนะในการดวลจุดโทษ 6-5) – 21 พฤษภาคม 2008
เป็นอีกหนึ่งนัดชิงฯ ที่แฟนบอลชาวไทยได้ตั้งตารอคอยกัน เพราะมันเป็นคู่ชิงชนะเลิศที่มาจากประเทศอังกฤษ เป็นหนแรก และเป็นลีกที่แฟนบอลชาวไทยติดตามกันมาอย่างยาวนาน แถมคู่ชิงที่ อีสตัน บูล ในตุรกี ดันเป็น 2 ทีมที่ก็แย่งแชมป์ลีกกันในตอนนั้นด้วย
แมนฯ ยูไนเต็ด ของ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ทำผลงานจบเป็นแชมป์ลีกสูงสุด มีแต้มเหนือ เชลซี แค่ 2 คะแนน จากเกมนัดที่ 35 ทัพ “ปีศาจแดง” ไปแพ้ เชลซี 1-2 ทำให้พวกเขามีโอกาสที่จะเป็นแชมป์
เนื่องจากเกมนั้นส่งผลให้ทั้งสองทีมมีแต้มเท่ากัน แต่ลูกได้เสียของ แมนฯ ยูไนเต็ด ดีกว่าอยู่พอสมควร โดยขอให้ทีมของ “เฟอร์กี้” สะดุด พวกเขาก็จะเป็นแชมป์ในบั้นปลาย แต่สุดท้ายก็ไม่เกิด แมนฯ ยูไนเต็ด เอาชนะได้ใน 2 เกมที่เหลือ ขณะที่ เชลซี ก็ไปเสมอกับ โบลตัน ในเกมสุดท้าย ส่งผลให้แพ้กันไปที่จำนวน 2 คะแนน
ส่วนใน แชมเปี้ยนส์ ลีก แมนฯ ยูไนเต็ด ไม่ค่อยได้เจองานยากมากนัก ตั้งแต่รอบแบ่งกลุ่มมาจนถึงรอบรองชนะเลิศ พวกเขาเล่นมา 10 นัดไม่แพ้ใคร และเสมอไปแค่ 2 นัด เสียประตูไปเพียง 5 ลูก ก่อนจะมาเยองานยากอย่าง บาร์เซโลน่า แต่สุดท้ายก็ได้ พอล สโคลส์ มาเป็นฮีโร่ ในเลกสองที่ถิ่นตัวเอง
ขณะที่ เชลซี ผ่านเข้ามาแบบไม่ได้ยากเย็นเช่นกัน แม้จะมีเสียวเล็กๆ ในการเล่นรอบ 8 ทีมที่บุกไปแพ้ เฟเนร์บาห์เช่ ก่อน 1-2 แต่ก็กลับมาเอาชนะในบ้านได้ 2-0 ส่วนในรอบรองชนะเลิศมาโคจรเจอกับ ลิเวอร์พูล ซึ่งเป็นอีกหนึ่งครั้งที่เราจะเห็นว่าทีมชาติเดียวกันที่เข้าชิงชนะเลิศ จะเข้ารอบรองฯ มาถึง 3 ทีมด้วยกัน
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่แฟนๆ หวังให้เกิดศึกแดงเดือด มันไม่เกิดขึ้น เมื่อ เชลซี ของ อัฟราม แกรนท์ กุนซือขัดตาทัพ เอาชนะ “หงส์แดง” ในช่วงต่อเวลาเลกสอง เข้ารอบไปด้วยสกอร์รวม 4-3 ทะยานสู่รอบชิงชนะเลิศ
เกมนัดชิงถือเป็นมวยถูกคู่ ทั้งสองทีมเล่นแบบทันกัน ทาง แมนฯ ยูไนเต็ด เองก็หวั่นๆ เพราะเพิ่งแพ้ เชลซี มายังไม่ถึงเดือน แต่ในช่วงต้นก็เป็นฝ่ายเล่นได้ดีกว่า
ก่อนจะมาได้ประตูขึ้นนำจาก คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ในนาทีที่ 26 แต่หลังจากนั้น เชลซี ก็เริ่มได้ครองเกม และได้บุกมากขึ้นสุดท้ายก็ได้ประตูตีเสมอจาก แฟร้งค์ แลมพาร์ด
ในครึ่งหลังทั้งสองทีมทำอะไรกันไม่ได้ เชลซี มีโอกาสเพิ่มแต่ก็ไม่สามารถจบสกอร์ออกมาเป็นประตูได้ จนมาถึงช่วงต่อเวลาพิเศษ ทั้งสองทีมเกือบได้ประตูกันบ้างเหมือนกัน แต่ก็ไม่มีสกอร์เพิ่มเติม
ก่อนจะหมดเวลา มีเหตุการณ์สำคัญเกิดขึ้น เมื่อ ดิดิเย่ร์ ดร็อกบา โดนใบแดงไล่ออกจากสนาม เนื่องจากไปตบหน้า เนมานย่า วิดิช
แต่เหตุความวุ่นวาย เกิดจากที่ คาร์ลอส เตเวซ เตะบอลทิ้ง เนื่องจากมีอาการบาดเจ็บ แต่ดันเตะออกไปเกือบมุมธงให้ เชลซี ทุ่มยาก แล้วดันทำกิริยาเรียกเพื่อนให้บีบสูงขึ้นมา สร้างความไม่พอใจให้กับ จอห์น เทอร์รี่ เลยเข้ามาต่อว่า ก่อนจะมีเรื่องกันไปจนบานปลาย
ซึ่งสุดท้ายการขาดหายไปของ ดร็อกบา มันกลายเป็นส่งผลถึงการดวลจุดโทษ แถมมันเป็นจุดโทษที่ดราม่าสุดๆ เมื่อนักเตะที่ดีที่สุดของทีมอย่าง คริสเตียโน่ โรนัลโด้ เข้ามายิงคนที่ 3 แล้วยิงไม่เข้า ถูก ปีเตอร์ เช็ก เซฟได้
ในขณะเดียวกัน คนที่ 5 ของ “สิงโตน้ำเงินคราม” อย่าง จอห์น เทอร์รี่ กลับลื่นในจังหวะยิง บอลไปชนเสาไกล ท่ามกลางฝนโปรยปราย ต้องไปดวลกันต่อในช่วง ซัดเด้น เดธ
ผลปรากฏว่าคนที่ 7-8 ของ แมนฯ ยูไนเต็ด คือ อันแดร์สัน และ ไรอัน กิ๊กส์ ยิงเข้าไป ขณะที่เชลซี เป็น ซาโลมอน กาลู ยิงเข้า แต่ นิโกลาส์ อเนลก้า กลับยิงไปโดน เอ็ดวิน ฟาน เดอร์ ซาร์ เซฟ กลายเป็น แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด คว้าแชมป์เป็นสมัยที่ 3 เป็นสมัยที่ 2 ของ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน และ “ปีศาจแดง” จบฤดูกาลด้วยดับเบิ้ลแชมป์ ส่วน เชลซี ก็เป็นรองดับเบิ้ลแชมป์
บาเยิร์น มิวนิค 2-1 โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ – 25 พฤษภาคม 2013
สเปน, อิตาลี และอังกฤษ ต่างจูงมือกันเข้ามาชิงชนะเลิศกันหมดแล้ว แน่นอนว่ามันต้องมาถึงเวลาของทีมจากเยอรมันบ้าง โดยในรอบรองชนะเลิศ พวกเขาปราบทีมจาสเปน ได้ทั้งสองทีม
โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ภายใต้การคุมทีมของ เจอร์เก้น คล็อปป์ อยู่ในฟอร์มการเล่นที่ร้อนแรง เป็นแชมป์ลีกด้วยการหยุด บาเยิร์น มิวนิค ได้ มาในซีซั่นนี้ ก็สามารถทะลุเข้าชิง แชมเปี้ยนส์ ลีก ได้อีก แม้ว่าในลีกจะถูก บาเยิร์น ทิ้งห่างแบบขาดลอย 25 แต้มก็ตาม
แต่การเจอกันในเกมลีก ลูกทีมของ จุ๊ปป์ ไฮย์เกส ไม่สามารถเอาชนะได้เลย จะมีแค่เกม เดเอฟเบ โพคาล รอบก่อนรองชนะเลิศ ที่ “เสือใต้” เอาชนะด้วยประตูโทนของ อาร์เยน ร็อบเบน เท่านั้น
มาในเกมนี้ ทุกอย่างกลับมาเริ่มใหม่หมด เกมที่ เวมบลี่ย์ สเตเดี้ยม ถือเป็นแมตช์ที่มันส์มากเกมหนึ่งเลยทีเดียว ก่อนเกมก็ยังมีประเด็นของ มาริโอ เกิทเซ่ ที่เซ็นสัญญาย้ายไปอยู่กับ บาเยิร์น เป็นที่เรียบร้อย โชคดีที่ไม่ต้องลงสนาม เนื่องจากมีปัญหาอาการบาดเจ็บ ไม่งั้นคงโดนแฟนบอลทีมตัวเองโห่ใส่ระงม
เกมบุกใส่กันมีโอกาสยิงกันทั้งสองฝ่ายในครึ่งแรก แต่สุดท้ายยังไม่ผ่านมือนายทวารทั้งสองททีมอย่าง โรมัน ไวเดนเฟลเลอร์ และ มานูเอล นอยเออร์ จนเกมผ่านมาหนึ่งชั่วโมง “เสือใต้” มาได้ประตู
จากความยอดเยี่ยมของ อาร์เยน ร็อบเบน ที่หลุดไปรับบอลทะลุช่องของ ฟร้องค์ ริเบรี่ ก่อนจะตวัดไปหน้าประตูให้ มาริโอ มานด์ซูคิช แปง่ายๆ เข้าไป
แต่หลังจากนั้นแค่ 8 นาที ดานเต้ ก็ไปเสียท่า ยกขาค้าง กลายเป็นไปถีบใส่ มาร์โก้ รอยส์ กลายเป็นจุดโทษ อิลคาย กุนโดกัน มาสังหารให้ทีมตีเสมอ 1-1 อย่างรวดเร็ว
หลังจากนั้น บาเยิร์น มีโอกาสเกือบจะเป็นประตู โดยทาง โธมัส มุลเลอร์ เปิดบอลกำลังจะถึง ร็อบเบน รอแปเหน่งๆ หน้าเส้นประตู แต่กลายเป็น เนเว่น ซูโบติช ที่มาสกัดก่อนถึงแข้งชาวดัชต์นิดเดียว หลังจากนั้นก็ทำอะไรกันไม่ได้ เกมทำท่าจะหมดเวลา
แต่ในนาทีที่ 89 ร็อบเบน กลายเป็นฮีโร่ ใช้ความเร็วสอดมาแย่งบอลเก็บตกตรงเส้น 18 หลา แล้วหลุดเข้าไปยิงแบบไม่เต็มนัก แต่บอลสวนตัวนายทวาร “เสือเหลือง” ค่อยๆ กลิ้งเข้าประตูไป กลายเป็น ทริปเปิ้ลแชมป์ ของทัพ “เสือใต้” ฤดูกาลนั้น
เรอัล มาดริด 1-1 แอตเลติโก มาดริด (เรอัล มาดริด ชนะช่วงต่อเวลาพิเศษ 4-1) – 24 พฤษภาคม 2014
ปีถัดมา เราก็ได้ดูเกมชิงชนะเลิศจากชาติเดียวกันอีกครั้งทันที คราวนี้เป็นคิวของ สเปน เป็นรอบที่สอง แถมเป็นศึก ดาร์บี้แมตช์ เมืองหลวงเสียด้วย ซึ่งก็ถือเป็นหนแรกที่คู่ชิงมาจากเมืองเดียวกัน
ถ้าจะหาทีมที่มาต่อกรกับ เรอัล มาดริด ในยุค กาลาติกอส 2 ที่มีทั้ง คริสเตียโน่ โรนัลโด้, แกเร็ธ เบล, ลูก้า โมดริช, คาริม เบนเซม่า และ อังเคล ดิ มาเรีย ก็ต้องบอกว่าหายากกันสักนิดนึง
ในปีนั้นพวกเขาพร้อมมาก ที่จะกลับมาเขย่าบัลลังก์แชมป์ หลังจากห่างหายไปถึง 12 ปี ซึ่งการได้มาโคจรเจอกับ แอตเลติโก มาดริด ของ ดีเอโก้ ซิเมโอเน่ ถือว่าเป็นมวยถูกคู่ ทัพ “ตราหมี” เป็นทีมเคี่ยว และเล่นตามแท็กติกล้วนๆ
“ราชันชุดขาว” ผ่านทีมจากเยอรมันมาได้ทั้งหมดในรอบน็อกเอาต์ ไม่ว่าจะเป็น ชาลเก้ 04, โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ และ บาเยิร์น มิวนิค ส่วน แอตฯ มาดริด เอาชนะ เอซี มิลาน, บาร์เซโลน่า และ เชลซี เข้ามา ส่งสองทีมจากสเปน ไปดวลกันที่สนาม เอสตาดิโอ ดา ลุซ ในเมืองลิสบอน ประเทศโปรตุเกส
เกมทำท่าว่าจะเป็น “ตราหมี” ที่จะคว้าแชมป์สมัยแรกให้กับตัวเอง ด้วยลูกโหม่งของ ดีเอโก้ โกดิน ตั้งแต่ครึ่งแรก แต่ในนาทีที่ 90-3 เซ็นเตอร์ฮาล์ฟฝั่งเจ้าถิ่นอย่าง เซร์คิโอ รามอส ก็มาโหม่งประตูตีเสมอจากลูกเตะมุม ก่อนจะหมดเวลาเพียง 2 นาที
ในช่วงทดเจ็บ มันเหมือนทุกๆ อย่างเป็นใจให้กับ “ราชันชุดขาว” ไปหมดแล้ว แรงที่บดตลอด 90 นาทีของ แอตฯ มาดริด มันถดถอยลงไปเยอะ สุดท้ายมาโดนรัว 3 ประตูจาก แกเร็ธ เบล, มาร์เซโล่ และ จุดโทษของ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ทำให้ เรอัล มาดริด คว้าแชมป์ยูซีแอล สมัยที่ 10 หรือที่เรียกกันว่า ลา เดซิม่า ได้สำเร็จ
เรอัล มาดริด 1-1 แอตเลติโก มาดริด (เรอัล มาดริด ชนะในการดวลจุดโทษ 5-3) – 28 พฤษภาคม 2016
หลังจากนั้นอีก 2 ปี คู่นี้ก็กลับมาเจอกันอีกครั้งในนัดชิงชนะเลิศ ฝั่ง แอตเลติโก มาดริด ยังคงเป็น ดีเอโก้ ซิเมอโอเน่ ผู้กุมความแค้นมา ส่วน เรอัล มาดริด เป็น ซีเนอดีน ซีดาน มือขวาของ อันเชล็อตติ มาสานต่อ ลงชิงชัยกันที่สนามเก่าแก่อย่าง ซาน ซิโร่ ในเมืองมิลาน ประเทศอิตาลี
ตัวผู้เล่นก็มีการเปลี่ยนแปลงบ้างบางราย นักเตะอย่าง กาเซมิโร่, โทนี่ โครส, เคย์เลอร์ นาวาส และ ดาเนียล การ์บาฆาล เข้ามาเป็นผู้เล่นของ เรอัล มาดริด ขณะที่ “ตราหมี”
มีเปลี่ยนไปเยอะเหมือนกัน แต่หลักๆ พวก โกดิน, กาบี, โกเก้, ฟิลิเป้ หลุยส์ และ ฆวนฟราน แต่ที่เพิ่มเติมมาคือ อ็องตวน กรีซมันน์
หนนี้กลับมา แอตฯ มาดริด เตรียมตัวมาอย่างยอดเยี่ยมเหมือนเดิม แต่คราวนี้เป็นฝ่าย เรอัล ทำประตูนำไปก่อนโดยคนเดิม ตั้งแต่นาทีที่ 15 เซร์คิโอ รามอส แม้ว่าภาพช้าจะดูเหมือน รามอส จะล้ำหน้า แต่ผู้ตัดสินก็ไม่ได้มีการเป่าแต่อย่างใด
หลังจากนั้น เฟร์นานโด ตอร์เรส ถูก เปเป้ ทำฟาวล์ ในเขตโทษช่วงต้นครึ่งหลัง ทำให้ “ตราหมี” มาได้จุดโทษ แต่ อ็องตวน กรีซมันน์ กลับยิงไปชนคานเต็มๆ ทีมยังไม่ได้ประตูตีเสมอ
สุดท้าย แอตฯ มาดริด ก็มาได้ประตูยื้อชีวิตจาก การแปเหน่งๆ ของ ยานนิค เฟร์เรร่า การาสโก้ ตัวสำรองเกมนั้น ในนาทีที่ 79 จากการสอดไปเปิดบอลอย่างสวยงามของ ฆวนฟราน ล่วงเลยมาถึงช่วงต่อเวลาพิเศษอีกครั้ง
แต่ผลปรากฏว่าหนนี้ ซิเมโอเน่ เตรียมตัวมาดีกว่ารอบที่แล้ว ทั้งสองทีมไม่สามารถทำอะไรกันได้ จนจบ 120 นาที ต้องไปดวลจุดโทษกัน เรอัล มาดริด ได้ยิงก่อน และพวกเขาก็ดาหน้ายิงเข้ากันหมดทั้ง 5 คน
ขณะที่ แอตฯ มาดริด เป็น ฆวนฟราน คนที่ 8 ของการแข่ง กลับยิงไปชนเสา ส่งให้ “ราชันชุดขาว” คว้าแชมป์สมัย 11 และสานต่อการคว้าแชมป์ 3 รายการติดต่อกันของ ซีดาน และสโมสร ส่วน แอตเลติโก มาดริด ต้องคอตกอีกครั้ง เป็นรองแชมป์รายการนี้ไปถึง 3 สมัย
ย้อนรอยนัด ชิงชนะเลิศ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก เมื่อทีมจากลีกเดียวกันมาเจอกันเอง ในอดีตล่าสุดได้จบลงไปแล้ว แต่ในปีนี้นับเป็นอีกครั้งที่ทีมจากลีกเดียวกันต้องมาเจอกัน ผลจะเป็นอย่างไรก็ต้องติดตามกันในเร็วๆ ติดตาม ข่าวฟุตบอล สถิติบอล 10 นักเตะ แข้งทองคำ ยูโร 10 ปี หลังสุด ติดตามได้ทุกวันทาง : www.donbaleh.com